มาทำความรู้จักและพิจารณ์ พรบ. ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์กัน โค้งสุดท้าย ก่อนประกาศใช้ และ มีผลกับการเล่นเน็ตโดยตรง
พักใหญ่ๆมาแล้ว ที่เราได้นำกฎหมายการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาดูกัน เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเราๆท่านๆโดยตรง ซึ่งเพื่อนๆหลายท่านได้ช่วยเสนอความคิดเห็นกันอย่างมากมาย ซึ่งความเห็นเหล่านั้นได้ถูกนำเสนอในหลายๆเวที และได้สร้างความเข้าใจต่อความกังวลของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเช่นพวกเราในระดับที่น่าพอใจ
ขณะนี้กฎหมายฉบับนี้ได้มาอยู่ที่โค้งสุดท้ายแล้ว นั่นคืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากคณะกรรมาธิการ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยประกอบจากผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายวงการ นับเป็นโชคดีของเราอีกครั้งที่แม้จะผ่านขั้นตอนประชาพิจารณ์มาแล้ว แต่กรรมาธิการคณะนี้ยังยินดีที่จะเปิดกว้างเพื่อรับฟังเสียงจากเราอีกครั้ง และเนื่องด้วยเนื้อหาบางส่วน มีความแตกต่างไปจากที่เราได้เคยเห็นเมื่อครั้งก่อน จึงใคร่ขอเชิญเพื่อนสมาชิกลองมาวิจารณ์รอบสองกัน
ย้ำอีกครั้งครับว่าครั้งนี้โค้งสุดท้ายจริงๆ มาตราใดที่ทำให้ประชาชนทั่วไปต้อง เดือดร้อน โดยไม่เป็นธรรม หรือไม่จำเป็น หากเราไม่ได้ชี้แจงให้เห็นผลกระทบ และผ่านกรรมาธิการนี้ออกไป ก็มีแนวโน้มว่าต้องทำใจรับผลของมันค่อนข้างแน่นอน ดังนั้นอย่าละโอกาสครั้งสุดท้ายครั้งนี้นะครับ
ลิ้งค์กฎหมายฉบับเต็มที่ถูกเสนอให้กับกรรมาธิการตรงนี้ครับ http://wiki.nectec.or.th และผมได้พยายามตีความออกมาเป็นภาษาชาวบ้านเท่าที่ความสามารถอันจำกัดจะอำนวยให้ด้านล่างครับ
เท่าที่ผมเข้าใจผม กฎหมายนี้จะมีส่วนที่เกี่ยวข้องเต็มๆกับนักโพสต์อย่างพวกเราอยู่สองมาตราด้วยกันครับ ได้แก่มาตราที่ 13 และ 15 โดยเขาเขียนไว้ประมาณว่า
มาตรา 13 ความผิดเกี่ยวกับเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตซึ่งกฎหมายนี้ กำหนดไว้ 5 แบบ
การปลอมแปลง เช่นทำเว็บปลอมว่าเป็นธนาคารเพื่อหลอกเอาข้อมูล
กระจายข่าวลือที่เป็นเท็จ ทำให้ประชาชนตื่นตระหนก เช่น บอกว่ายุงเป็นพาหะของโรคเอดส์
เขียนเนื้อหาที่เป็นความผิดด้านความมั่นคงตามที่กำหนดในกฎหมายอาญา
เนื้อหาลามกอนาจาร ไม่ว่าจะเป็นภาพ ข้อเขียน คลิป ฯลฯ
Forward Mail ส่งต่อเนื้อหาสี่ข้อด้านบน
ความผิดทั้ง 5 แบบนี้เขาให้มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท และโบนัสพิเศษสำหรับกรณีเนื้อหาลามกอนาจาร หากเป็นภาพของเยาวชน โทษจะเพิ่มเป็นจำคุกตั้งแต่สองปีถึงห้าปี ปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาทครับ
มาตรา 15 ใส่ภาพตัดต่อลงในเว็บ ทำให้คนอื่นเสียหาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท สามารถยอมความได้
สองมาตรานี้จะเป็นส่วนที่พวกเราเดินเฉียดคุกกันมากที่สุดแล้วตามที่กฎหมายนี้เขียนไว้
ส่วนเพื่อนๆท่านใดที่นอกจากเป็นนักเล่นเว็บแล้วเป็นคนทำเว็บด้วย จะมีอีกสองมาตราที่เปิดโอกาสให้เราได้เข้าไปคุยกันต่อในคุกครับ
มาตรา 14 เจ้าของเว็บที่รู้ว่ามีการทำความผิดในมาตรา 13 คือ ปล่อยให้มี การหลอกลวง หรือ มีข่าวลือที่ก่อให้ประชาชนตื่นตระหนก หรือมีข้อความที่ขัดต่อกฎหมายความมั่นคง หรือ ปล่อยให้มีเนื้อหาลามกอนาจารอยู่ในเว็บที่ตัวเองดูแล และไม่ลบออกในทันที ให้รับผิดเช่นเดียวกับผู้ทำผิด ซึ่งก็คือจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท พร้อมโบนัสหากเป็นภาพอนาจารของเยาวชนเช่นกัน
มาตรา 24 ผู้ให้บริการ เช่น ISP หรือเว็บไซต์
ให้เก็บข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ (ประมาณ access log ครับ) ไว้อย่างน้อย 30 วัน แต่ในกรณีจำเป็นเจ้าหน้าที่สั่งให้เก็บเพิ่มได้ไม่เกิน 90 วัน
ให้ ISP หรือเว็บไซต์เก็บสัญญาหรือข้อตกลงที่ทำกับผู้ใช้บริการ ไว้ไม่น้อยกว่า 30 วันหลังหมดสัญญา ส่วนให้ใครเก็บอะไรเมื่อใดจะมีการประกาศในภายหลัง และผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท
นอกจากนี้กฎหมายนี้ยังมีอีกส่วนที่กำหนดไว้ในเกี่ยวกับการกระทำที่เป็นอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ เช่น การ Hacking การยิง Dos การปล่อยไวรัส ฯลฯ โดยตรงไว้หลายข้อดังนี้
มาตรา 5 เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของคนอื่น จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท สามารถยอมความได้
มาตรา 6 รู้วิธีเจาะเข้าระบบแล้วบอกคนอื่นต่อ จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
มาตรา 7 เปิดดูข้อมูลที่เจ้าของข้อมูลทำการป้องกันไว้ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
มาตรา 8 ดักข้อมูลคอมพิวเตอร์ของคนอื่น จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
มาตรา 9 แก้ไข หรือ ทำลายข้อมูลของคนอื่นจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท สามารถยอมความได้
มาตรา 10 รบกวนระบบคอมพิวเตอร์ของคนอื่นจนไม่สามารถทำงานได้ตามปรกติ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา 11
(1) หากการกระทำในมาตรา 9 หรือ 10 มีผลทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของคนทั่วไปเสียหายไปด้วย จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี ปรับตั้งแต่สองหมื่นถึงสองแสนบาท
(2) หากการกระทำในมาตรา 9 หรือ 10 มีผลต่อระบบสาธารณะ จำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี ปรับตั้งแต่หกหมื่นถึงสามแสนบาท และหากมีผลจนทำให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือชีวิต มีโทษ ประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี
มาตรา 12 ขายหรือเผยแพร่โปรแกรมที่ใช้ทำความผิด จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
ในส่วนที่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งในที่นี้เป็นเจ้าหน้าที่ปราบปรามความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ (ไม่ใช่ตำรวจ) ที่ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ และผ่านหลักสูตรอบรมเฉพาะ กฎหมายนี้ได้มีการกำหนดอำนาจและเงื่อนไขตรวจสอบการใช้อำนาจไว้ด้านล่าง ทั้งนี้เผื่อสมาชิกท่านใดกังวลปัญหารีดไถ ก็ลองศึกษาดูนะครับ ว่าพอเพียงที่จะให้ความสบายใจกับสุจริตชนเช่นเราหรือยัง
มาตรา 16 กำหนดอำนาจให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติได้ 8 ข้อ หากสงสัยว่ามีการกระทำความผิด
ยึดข้อมูลหรืออุปกรณ์เก็บข้อมูลจากระบบคอมพิวเตอร์
ทำสำเนาข้อมูลที่สงสัย
เข้าระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ ของบุคคลทั่วไป (แปลว่าใครก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ทำความผิด) ที่สงสัยว่าน่าจะมีหลักฐานเกี่ยวกับการทำความผิด
ถอดรหัสข้อมูลของบุคคลทั่วไป (แปลว่าใครก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ทำความผิด) หรือสั่งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องถอดรหัสหรือให้ความร่วมมือในการถอดรหัส
เรียกดูข้อมูลการจราจรคอมพิวเตอร์จาก ISP หรือ เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
สั่งให้ ISP หรือเจ้าของเว็บ ให้ข้อมูลของผู้ใช้บริการ
ยึดหรืออายัดระบบคอมพิวเตอร์เพื่อหาหลักฐาน
เรียกบุคคลมาสอบสวน หรือให้ข้อมูล
ในมาตรา 16 ด้านบนเป็นการกำหนดอำนาจหลักๆของเจ้าหน้าที่ซึ่งจะมีสิทธิทำได้ตามกฎหมายฉบับนี้ ส่วนด้านล่างก็จะเป็นขอบเขตการใช้อำนาจ และการตรวจสอบการใช้อำนาจ ที่มาตรา 16 ด้านบนให้ไว้
การยึดหรืออายัดระบบคอมพิวเตอร์ ให้เจ้าหน้าที่ทำได้ 30 วัน หากต้องการยึดนานกว่านั้นให้ขอคำสั่งศาลและขยายเวลาได้อีกไม่เกิน 60 วัน (มาตรา 17)
การใช้อำนาจตามมาตรา 16 ให้ใช้เฉพาะเท่าที่จำเป็นดังนี้ (มาตรา 18)
การทำสำเนาข้อมูลทำได้เฉพาะเมื่อสงสัยว่ามีความผิดตามมาตรา 9 คือมีการ แก้ไข/ทำลายข้อมูลของผู้อื่น
ในการเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลทั่วไป หรือเรียกดูข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ ต้องรายงานต่อศาลภายใน 24 ชั่วโมง และศาลสามารถสั่งระงับได้
หากเจ้าหน้าที่พบว่ามีข้อมูลใดติดไวรัส มีสิทธิ์สั่งห้าม จำหน่าย เผยแพร่ ระงับการใช้ หรือทำลายได้ (มาตรา 19)
ข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ และ ข้อมูลผู้ใช้บริการ ที่ถูกเรียกจาก ISP เจ้าหน้าที่ต้องเก็บเป็นความลับ ห้ามส่งมอบให้ใครหรือหน่วยงานใดแม้เจ้าหน้าที่จะถูกเรียกไปให้ปากคำในคดีอื่นตามกฎหมายอื่น ก็ไม่มีสิทธิเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว ให้ใช้เฉพาะในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด กับเจ้าหน้าที่ผู้ประพฤติมิชอบ หรือตามคำสั่งศาลในการพิจารณาคดี เจ้าหน้าที่ใดฝ่าฝืนจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท(มาตรา 20)
หากเจ้าหน้าที่ประมาท ทำให้ข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ หรือ ข้อมูลผู้ใช้บริการรั่วไหล มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน สองหมื่นบาท (มาตรา 21)
คนที่รู้ข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลผู้ใช้บริการที่รั่วออกมาจากเจ้าหน้าที่แล้วยังนำไปเปิดเผยต่อ มีโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท (มาตรา 22)
ข้อมูลจราจรหรือข้อมูลผู้ใช้บริการที่ได้มาจากการรั่วไหลจากเจ้าหน้าที่ ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดี (มาตรา 23)
ปักมุดเลยครับ ซ้ำขออภัย
กลัวว่าจะมีส่วยserverจัง
ขอขอบคุณpantip.com