ธนาคารอาจจะเจ๊ง

รบ.”ยิ่งลักษณ์”ถังแตก บีบ4แบงก์ใหญ่ปล่อยกู้2แสนล้าน ดอกเบี้ยต่ำอุดจำนำข้าว

โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรับจำนำข้าวทุกเม็ดของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ระหว่างวันที่ 7 ตุลาคม 2554 – 29 กุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินเป็นค่าใช้จ่ายการดำเนินการของหน่วยปฏิบัติหลักได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.),องค์การคลังสินค้า(อคส.),องค์การตลาดเพื่อ เกษตรกร(อ.ต.ก.),กรมส่งเสริมการเกษตรและกรมการค้าภายในรวมทั้งสิ้น 435,547 ล้านบาท แยกเป็นวงเงินหมุนเวียนที่ใช้ในการรับจำนำข้าวจำนวน 25 ล้านตัน จำนวน 410,000 ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาด ในการบริหารจัดการจำนวน 25,547 ล้านบาท

จากข้อมูลของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.)นำเสนอ ครม.อ้างว่า ธ.ก.ส.มีสภาพคล่องที่จะสนับสนุนและดำเนินงานตามโครงการได้เพียง 90,000 ล้านบาท ส่วนวงเงินที่เกินอีก 320,000 ล้านบาท ขอให้รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังพิจารณาจัดหาเงินทุนให้แก่ ธ.ก.ส. เพื่อใช้ในการรับจำนำ และวงเงินจ่ายขาดเพื่อเป็นค่าดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายบริหารสินเชื่อ วงเงินค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 14,882 ล้านบาท แยกเป็น ค่าชดเชยต้นทุนเงินอัตราเอฟดีอาร์+1 หรือเท่ากับ 3.406% ต่อปี จำนวน 10,611 ล้านบาท และค่าบริหารสินเชื่อจำนวน 4,270 ล้านบาท โดยคิดในอัตราดอกเบี้ย 2.5% ของต้นเงินคงเป็นหนี้ระยะเวลา 5 เดือน

สำหรับ อคส.และอ.ต.ก.มีวงเงินจ่ายขาดทั้งสิ้น จำนวน 9,958 ล้านบาท แบ่งเป็นดังนี้ ค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 2,625 ล้านบาท คิดที่ไม่เกิน 105 บาทต่อตัน แยกเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรับฝาก จำนวน 1,375 ล้านบาท ค่าโสหุ้ย(โอเวอร์เฮด)ตันละ 50 บาท จำนวน 1,250 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาข้าวสารจำนวน 7,333 ล้านบาท

จากวงเงินดังกล่าว นอกจากจะเป็นโครงการแทรกแซงพืชผลทางการเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว มียังมีความเป็นห่วงจากฝ่ายต่างๆว่า จะเกิดการทุจริตครั้งใหญ่ที่สุดเช่นกันเพราะในอดีตที่ผ่านมานักการเมืองมักจับมือกับพ่อค้า ข้าราชการแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการประเภทนี้ตั้งแต่เริ่มรับยจำนำข้าวเม็ดแรก จนถึงการระบายข้าวในสต็อกของรัฐ ทำให้เกิดความเสียหายและรัฐขาดทุนหลายหมื่นล้านบาท จนกระทั่งบัดนี้ทั้ง อ.ต.ก.และ อคส.ยังมีหนี้อยู่กับ ธ.ก.ส.ประมาณ 100,000 ล้านบาท

นอกจากนักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ)จะดาหน้าออกมาทักท้วงในเรื่องนี้แล้ว ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นว่า อาจจะเกิดความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวล่าสุดไม่ต่ำกว่า 135,000 ล้านบาทหรืออาจสูงถึง 250,000 ล้านบาท

“ผมยังเชื่อว่าการออกใบประทวนปลอม และการร่วมมือระหว่างนักการเมืองกับพ่อค้า ในการประมูลซื้อข้าวจากหน่วยงานของรัฐ คงหมดไปได้ยาก ดังนั้นยอดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นจึงไม่น่าจะเป็นเพียง จำนวนรับจำนำ 27 ล้านตัน คูณด้วยผลต่างของราคาจำนำกับราคาตลาด ที่ตันละ 5,000 บาท หรือ 135,000 ล้านบาท แต่คงจะมากกว่านี้ แต่เชื่อว่าเมื่อรวมความเสียหายจากทุกสาเหตุคงไม่ต่ำกว่า 2.5 แสนล้านบาท”ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

“ผมติดตามเรื่องนี้ด้วยความทุกข์ใจว่า จะต้องทนมองนักการเมืองบางคนที่ไร้คุณธรรม ผลักดันโครงการที่ก่อให้เกิดความสูญเสียทางการเงินแก่ประเทศชาติครั้งใหญ่ที่สุด โดยไม่สามารถจะหยุดยั้งได้ แต่ยังมีความหวังอยู่ที่บุคคลสองคนที่ผมรู้จักพื้นเพพอควร และเป็นสองคนที่โดยหน้าที่ต้องเป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการนี้ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จากการติดตามสถานการณ์ทราบว่ารัฐมนตรีทั้งสองคน ไม่ได้เป็นต้นคิด แต่ผู้ที่ผลักดันเป็นระดับเฮฟวี่เวทของพรรคที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่สามารถทำงานการเมืองได้”ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว(กรุงเทพธุรกิจออนไลน์)

ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ชี้แจงผู้ประกอบการโรงสีเมื่อวันที่ 5 ตุลาคมว่า รัฐบาลจะดูแลทุกนโยบายที่ประกาศออกไปให้มีการดำเนินการอย่างจริงจังแน่นอน สำหรับข้อกังวลเรื่องการระบายข้าว ขอให้มั่นใจว่าจะสามารถขาย ระบายข้าวได้แน่นอน โครงการจะต้องสำเร็จ และขอยืนยันว่าจะไม่ฝ่อ หากผลผลิตจะมีจำนวนมาก หรือต้องขายข้าวเยอะขึ้น แล้วจะเสียราคา เพราะโลกกำลังพัฒนาเร็วขึ้น ความต้องการอาหารมากขึ้น จะสามารถระบายได้อย่างแน่นอน และไม่ต้องกังวลว่า

“ผมจะทำทุกอย่างให้นักวิชาการที่วิพากษ์ วิจารณ์นโยบายจำนำข้าวทั้งหลายที่ผมนับถือ ให้ท่านเหล่านั้นคิดผิดทั้งหมด เพราะหากท่านเหล่านั้นคิดถูกเหลือเกินทำไม เกษตรกรยังเป็นแบบนี้อยู่ ทำไมเรายังประสบปัญหาการขายข้าว และหากว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี ขอให้โรงสีทุกท่านจงภูมิใจด้วยกันว่าได้ร่วมกันทำให้ประเทศมีความสมดุลขึ้น” นายกิตติรัตน์ กล่าว

ส่วนนายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า มีการขึ้นทะเบียนเกษตรผู้ปลูกข้าวนาปีประจำปี 2554/55 เพื่อรองรับโครงการรับจำนำข้าวที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคม จำนวน 3,260,685 ครัวเรือน ในพื้นที่การเกษตรประมาณ 59.78 ล้านไร่ ซึ่งมีครัวเรือนที่ผ่านขั้นตอนการทำประชาคมแล้วจำนวน 1,628,357 ครัวเรือน หรือคิดเป็น 50 % และได้มีการออกใบรับรองแล้วจำนวน 459,401 ครัวเรือน

นายธีระกล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯได้ประมาณการผลผลิตข้าวจากการขึ้นทะเบียนเกษตรกร มีจำนวนทั้งสิ้น 25.8 ล้านตัน โดยจำนวนปริมาณข้าวที่คาดว่าจะเสียหายจากปัญหาอุทกภัยไม่น้อยกว่า 3.07 ล้านตัน ซึ่งหากเป็นไปตามการคาดการณ์ในผลกระทบที่เกิดขึ้น คาดว่าคงมีข้าวเหลือเข้าโครงการประมาณ 22.73 ล้านตันเท่านั้น

“เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ ธ.ก,ส.จ่ายเงินสำรองให้ อ.ต.ก.เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรับจำนำข้าวเบื้องต้นในวงเงินจำนวน 3,818.818 ล้านบาทไปก่อนจนกว่าจะได้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2555 และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณชดใช้คืนเงินต้นและดอกเบี้ยต่อไป” นายธีระกล่าว

นายธีระกล่าวว่า สำหรับโรงสีที่ยื่นความจำนงเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวกับอ.ต.ก. มีทั้งหมด 21 จังหวัดจำนวน 160 โรง แบ่งเป็นภาคเหนือ 3 จังหวัดจำนวน 40 โรง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัดจำนวน 55 โรง ภาคตะวันออก 3 จังหวัดจำนวน 4 โรง และภาคกลาง 10 จังหวัดจำนวน 61 โรง ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านการรับรองจากคณะอนุกรรมการระดับจังหวัดแล้วทั้งสิ้น 50 โรงสี เพื่อเข้าสู่กระบวนการทำสัญญากับ อ.ต.ก.ต่อไป

ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามสร้างภาพว่า มีความพร้อมในโครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ดจากชาวนา แหล่งข่าวจากสาคมธนาคารไทยเปิดเผย”ประสงค์ดอทคอม”ว่า ทางกระทรวงการคลังขอให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่งประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย กรุงเทพ ไทยพาณิชย์และกสิกรไทยปล่อยกู้แห่งละ 40,000 ล้านบาท รวม 200,000 ล้านบาทให้แก่ ธกส.ในอัตราดอกเบี้ยต่ำเท่ากับต้นทุน เพราะ ธกส.เองก็ไม่มีเงินพอที่จะปล่อยให้ อ.ต.ก.และ ธกส.ในโครงการรับจำนำ หลังจากนั้นรัฐบาลจะตั้งงบประมาณมาจ่ายคินให้แก่ธนาคารพาณิชย์พร้อมดอกเบี้ย

“โครงการประชานิยมต่างๆของรัฐบาลต้องใช้เงินจำนวนมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเงินมาใช้ในโครงการนี้ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ปรากฎเป็นหนี้สาธารณะ แต่อีก 2-3 ปีตัวเลขเหล่านี้จะโผล่ให้เห็น”แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวกล่าวว่า ในโครงการรับจำนำข้าวที่ผ่านมา ธกส.ไม่เคยต้องขอกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ แต่ที่ต้องกู้ครั้งนี้เพราะวงเงินที่ใช้สูงมาก

จากตัวเลขเงินกู้ที่สูงถึง 200,000 ล้านบาท แต่กลับทำอย่างเงียบเชียบ อาจทำให้เกิดข้อสงสัยว่า รัฐบาลต้องการหมกเม็ดอะไรหรือไม่?

หุๆ ทำอะไรกันหว่า

เหมือนสมัยทักษิน บีบให้ธนาคารออกเงินกู้ให้พม่า

กู้มากกู้น้อยไม่ใช้ปัญหา

ปัญหาคือ กู้มาแล้วมีปัญญาใช้คืนหรือไม่

อย่างสมัยชวลิต กู้เงินมาหลายกองทุน (รวมทั้ง IMF ด้วย)

ชวนใช้หนี้จนเกือบหมด เหลือเพียง IMF ตัวเดียว (เพราะกองทุนอื่น ดอกเบี้ยแพงกว่า IMF)

ในขณะที่ IMF เอง ชวนก็ใช้ไปจนเกือบหมด

มาสมัยทักษิน กู้เงินมาเพื่อใช้หนี้ IMF (เค้าเรียกกันว่า ย้ายจากกระเป๋าซ้ายมากระเป๋าขวา)

เหมือนเอาเงินกองทุนน้ำมันมาโป๊ะภาษีน้ำมันในสมัยทักษิน

และอีกอย่าง ทักษินเอาเงินที่ชวนหาได้ทั้งหมดไปใช้หนี้ IMF

หรือจะเปรียบอีกอย่าวคือ

ชวนปลูกเข้า ดูแลรักษาอย่างดี หมดวาระ

ทักษินมาถึง ข้าวที่ชวนปลูกไว้ก็สุกพร้อมเก็บเกี่ยวพอดี

พอทักษินเกี่ยวข้่าวแล้วเอาไปขายได่เงินมา ใช้หนี้จนหมด

ก็ประกาศว่าตัวเองเก่ง หาเงินมาใช้หนี้จนหมด

ซึ่งถ้าชวนจะทำก้ได้ แต่ประเทศจะไม่มีเงินสำรองเหลือ

ข้อมูลต่างๆสามารถหาได้จากธนาคารแห่งประเทศไทยครับ

ครอบครัวนี้ารตลาดและการประชาสัมพันธ์ดีครับ

สงสัยเอาไว้อุดรายรั่วของพี่ มา^ เค้า

ถ้ารัฐบาลของรัฐไม่เจ๊งง่ายๆหรอก

1.เงินฝากเด็กในธนาคารออมสินมีเยอะ

2.มีทองคำเก็บไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประมาณ 100ตัน เฉพาะของหลวงตามหาบัวบริจากให้มีประมาณ20ตัน

3.เพิ่มภาษีเหล้า บุหรี่ สัก700%

4.เงินไม่พอก็เพิ่มภาษีได้ เช่น เก็บภาษี IDC เพิ่มขึ้น80% เจ้าของIDCก็ไปเก็บเพิ่มจากผู้ใช้รายย่อย

“เงินไม่พอก็เพิ่มภาษีIDC” 80% 555555555555 เก็บที่ส่วนอื่นดีกว่านะ 55

แค่คุณเก็บภาษีจากพวกธุรกิจสีเทาทั้งหลายให้มากขึ้น

แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ