ชงแผนไอซีที 2020 เข้าครม.ปีนี้

ชงแผนไอซีที 2020 เข้าครม.ปีนี้

ดร.อาจิน จิรชีพพัฒนา

ดร.นเรศ ดำรงชัย

ไพบูลย์ ชีวินศิริวัฒน์

กทสช.เตรียมชงแผนไอซีที 2020 เข้าครม.ภายในปีนี้ ยึดเป็นยุทธศาสตร์พัฒนาโครงพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ขณะเอกชนให้การสนับสนุนด้านบุคลากร เทคโนโลยี และการติดตั้งระบบ ช่วยกำจัดจุดอ่อนในการพัฒนาด้านไอซีที

ดร.อาจิน จิรชีพพัฒนา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวในงานสัมมนา ‘TCS Solution Day 2010’ เพื่อเปิดมุมมองและวิสัยทัศน์ในโลกเทคโนโลยีแห่งอนาคตสายพันธุ์ใหม่ บนความพร้อมของระบบโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร ซึ่งจัดเสวนาในหัวข้อกระแสโลก และทิศทาง ไอซีทีเพื่อการพัฒนาประเทศไทย โดย บริษัท เดอะ คอมมูนิเคชั่น โซลูชั่น (ทีซีเอส) ว่า ขณะนี้ได้มีการจัดทำแผนไอซีที 2020 (พ.ศ.2554-2563) ซึ่งมีการทำประชาพิจารณ์ไปแล้ว และคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ (กทสช.) รับร่างกรอบนโยบายดังกล่าวไปแล้ว และมีแผนที่จะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในปีนี้ ซึ่งคงจะประกาศใช้เป็นกรอบนโยบายว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า กระทรวงไหนทำแผนต้องสอดคล้องกับกรอบนี้โดยกรอบนี้จะมี 7 ยุทธศาสตร์ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลง

สำหรับยุทธศาสตร์การพัฒนาประกอบด้วย 1.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไอซีที ที่เป็นอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ความทันสมัย มีการกระจายอย่างทั่วถึง และมีความมั่นคงปลอดภัย สามารถรองรับความต้องการของภาคส่วนต่างๆ ได้ 2.พัฒนาทุนมนุษย์ที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์และใช้สารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ มีวิจารณญาณและรู้เท่าทัน และการพัฒนาบุคลากรไอซีทีที่มีความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญระดับมาตรฐานสากล

3.ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไอซีที เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและนำรายได้เข้าประเทศ โดยใช้โอกาสจากการรวมกลุ่มเศรษฐกิจ การเปิดการค้าเสรี และประชาคมอาเซียน 4.ใช้ไอซีทีเพื่อสร้างนวัตกรรมการบริการของภาครัฐแบบบูรณาการและมีธรรมาภิบาล 5.พัฒนาและประยุกต์ไอซีทีเพื่อสร้างความเข้มแข็งของภาคการผลิตให้สามารถพึ่งตนเองและแข่งขันได้ในระดับโลก โดยเฉพาะภาคการเกษตร ภาคบริการ และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มสัดส่วนภาคบริการในโครงสร้างเศรษฐกิจโดยรวม

6.พัฒนาและประยุกต์ใช้ไอซีทีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม โดยสร้างโอกาสและการเข้าถึงทรัพยากรและบริการสาธารณะต่างๆ ให้มีความทั่วถึงและทัดเทียมกันมากขึ้น โดยเฉพาะบริการพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาพดี ได้แก่ บริการด้านการศึกษาและบริการสาธารณสุข และ7.พัฒนาและประยุกต์ไอซีทีเพื่อสนับสนุนการสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

‘จุดอ่อนของไทยคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีทำไม่ได้เต็มที่ อย่างเรื่องงบฯขอไป 1,000ล้านอาจได้แค่ 500 ล้าน ซึ่งเราก็เข้าใจว่ารัฐต้องแบ่งงบฯไปพัฒนาอย่างอื่น เช่น ทำถนน หรือโครงสร้างพื้นฐานด้านอื่นด้วย อีกอย่างก็ต้องมีเรื่องกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะเรื่องอินฟราสตรักเจอร์ก็ต้องมีกฎระเบียบในการใช้ด้วยแต่จุดตรงนี้เราก็สามารถทำได้ในลักษณะให้เอกชนเข้ามาให้การสนับสนุน’

ปัจจุบันมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยประมาณ 17.9 ล้านคน แต่ถ้าเทียบจำนวนประชากรแล้วคิดเป็นแค่ 20% ในมุมมองของดร.อาจินเห็นว่าหากภาครัฐมีการพัฒนาให้เกิดอี-เซอร์วิส ประชาชนก็จะเข้าไปใช้มากขึ้น ส่วนผู้ประกอบธุรกิจนั้นมีการใช้งานอยู่แล้ว ขณะที่การใช้อี-คอมเมิร์ซก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัย

ถ้ามีการทำธุรกรรมกันแล้วไม่เกิดปัญหาก็จะมีการใช้งานกันมากขึ้น

ดร.นเรศ ดำรงชัย ผู้อำนวยการศูนย์คาดการณ์เทคโนโลยีเอเปค สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) กล่าวถึงความคาดหวังใน 10 ปีว่า ความเร็ว (Speed) จะเปลี่ยนไปคือ เร็วขึ้น มี QR Code ไม่ต้องคีย์ URLส่วนธุรกิจจะได้ประโยชน์อย่างมาก เพราะในเวลาที่จำกัดสามารถทำอะไรได้มากขึ้น ซึ่งด้วยความเร็วในการประมวลผลที่เร็วขึ้น การให้บริการจะเข้าถึงกลุ่มคนซึ่งอาจจะไม่เคยได้รับผลจากตรงนี้มากขึ้น อาทิ กลุ่มคนพิการสามารถ สั่งสิ่งของต่างๆ ให้ทำงานด้วยเสียงได้ การเข้าถึงง่าย สะดวกสบาย ประมวลผลเร็วขึ้น Memory มากขึ้น ทำให้ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ด้านก็คือทั้งสังคมและธุรกิจ

‘ขณะเดียวกันก็จะช่วยประหยัดพลังงาน ประหยัด Resource ต่อไปสิ่งของจะมี IP Address ของตัวเอง แล้วจะสั่งงานได้ สั่งให้ชงกาแฟ อุ่นกาแฟ ของในตู้เย็นเยอะเกินไปก็บริหารจัดการให้เอาของที่หมดอายุออกไป เป็นต้น การเสียเปล่าลดลง แต่ การบริหารจัดการได้ง่ายขึ้น และคาดหวังว่าราคาของจะถูกลง’

***แผนระยะสั้นภาครัฐ

ดร.อาจินกล่าวว่า ทีมรัฐมนตรีกำลังประชุมในเรื่องการเซ็น MOU ระหว่าง 4 กระทรวง ระหว่าง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) กระทรวงศึกษาธิการโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และเนคเทค ในด้านการพัฒนาบุคลากร เพื่อยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงงานทางด้านไอซีทีให้สูงขึ้น ทั้ง 3 ระดับ 1.ผู้จัดการโครงการ 2.นักวิเคราะห์ระบบ 3. Network Computer Security Level 1-3 ซึ่งได้มีการทำประชาพิจารณ์ไปแล้วมีประเด็นต่างๆ ทั้งด้านศูนย์ทดสอบ ทักษะส่วนตัว และค่าใช้จ่ายไม่แพง

ดร.นเรศกล่าวว่า บทบาทของ สวทน. จะดูแลเรื่องของเทคโนโลยีและนวัตกรรม ต้องเป็นผู้ Implement ตามแผนไอซีที 2020 แต่ต้องบูรณาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบไหนที่สอดรับกับเทคโนโลยี สิ่งที่จะทำให้ในระยะสั้นซึ่งมีเป้าระยะสั้น 3 แนวทางหลักคือ 1.มีการใช้จ่ายในด้านการวิจัยและพัฒนาถึง 1% ของ GDP ของประเทศไทย โดยภาคเอกชนและภาครัฐ 2.ประชากรของประเทศไทย 10,000 คนต้องมีบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับด้านการวิจัยและพัฒนา 15 คน 3.รัฐและเอกชนต้องลงทุนวิจัยและพัฒนา เป็นสัดส่วน 70 : 30 ปัจจุบันรัฐลงทุนมากแล้วแต่ไปไม่ถึงในการใช้เชิงพาณิชย์ ทำแล้วไม่ได้ใช้จริงทั้งหมด ถ้าหากเอกชนลงทุนแล้วจะต้องทำเป็นธุรกิจ รอภาครัฐด้านเดียวไม่ได้ซึ่งก็เริ่มมีบริษัทเอกชนที่เริ่มลงทุนบ้างแล้ว

ทั้ง 3 เป้าหมายนี้จะพยายามผลักดันให้เกิด และนำเข้าครม.ภายในปีนี้พร้อมแผนไอซีที 2020 โดยใช้วิธีการออกแบบกลไกเอื้อให้เอกชนอยากเข้ามาลงทุนไม่ว่าจะป็นกลไกภาษี การหักลดหย่อน

‘เป้าหมายระยะสั้น ก็คือขอให้เรื่องนี้ผ่านครม.ได้ในปีนี้ ซึ่งการ Implement ต้องใช้ระยะเวลา แต่คิดว่าเมื่อจบแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 11 ต้องบรรลุเป้า เราวางแผนสอดคล้องไปกับสภาพัฒน์ ฯ ระหว่างนั้นเราก็จะไต่บันไดขึ้นไปเรื่อยๆ ผลก็จะงอกเงยก็จะทำให้เอกชนแอคทีฟมากขึ้น ซึ่งบางส่วนก็จะมาเชื่อมต่อกับไอซีที เพราะบางส่วนต้องการโครงสร้างพื้นฐานทางไอซีที เพื่อที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดได้เร็วขึ้น แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า สิ่งที่ลงทุนและวิจัยแล้วได้ผลเร็วที่สุดคือไอซีทีเมื่อเทียบกับด้านอื่นๆ’

***แผนการลงทุนระยะสั้นภาคเอกชน

นายไพบูลย์ ชีวินศิริวัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เดอะ คอมมูนิเคชั่น โซลูชั่น (ทีซีเอส) กล่าวว่า ทีซีเอสในส่วนของผู้ให้การสนับสนุน และในฐานะภาคเอกชน มีแผนการพัฒนาบุคลากรและเทคโนโลยีไว้พร้อม แต่สิ่งที่สำคัญคือ การบังคับการใช้แผน เมื่อกำหนดแผนแล้วต้องบังคับให้ทุกหน่วยงานให้ความร่วมมือ เดินไปในแนวทางเดียวกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างเดิน หรือเกิดในภาคเอกชนเป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่โครงสร้างพื้นฐานภาครัฐต้องทำให้เกิด มีอำนาจในการสั่งการให้เกิดขึ้นจริง และต้องบังคับใช้ให้ไปแนวทางเดียวกัน

สิ่งที่ทีซีเอสให้การสนับสนุนคือ 1.ลงทุนพัฒนาบุคลากร มีการศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ 2. เดินไปตามกระแสของโลก ความพร้อมของสังคม การให้บริการใหม่ๆ บนเครือข่ายหรืออื่นๆ เป็นผู้ Implement เทคโนโลยี

‘เมื่อเรา Implement เทคโนโลยีแล้ว พร้อมที่จะใช้เมื่อไร สังคมและประชาชนเป็นผู้กำหนด การคัดสรรเทคโนโลยีที่เหมาะสมไม่ยาก แต่ยากที่การ Implement ให้สำเร็จ และมีนโยบายควบคุมปฏิบัติการงานใช้ ซึ่งยากกว่าหลายเท่า รัฐบาลต้องเข้ามามีบทบาทควบคุมตรงนี้’

มีแต่แผนไว้ แต่ไม่ลงมือทำ