เขาพระวิหาร โดย ดร. ชาญวิทย์

เคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวในทริปที่ อ.ชาญวิทย์ นำเที่ยว ตะลุยเที่ยวปราสาทต่างๆ ในอีสานใต้
อ.ชาญวิทย์ บรรยายเศษปราสาทพังๆ ให้เราจิตนาการตามได้ราวกับเราเกิดในยุคนั้นไปด้วย
เป็นทริปที่ยังประทับใจเสมอมา เป็นบุคคลที่เก่งกาจมากในเรื่องประวัติศาสตร์ไทย

และเนื่องจากเรื่องของเขาพระวิหาร กลายเป็นประเด็นแบบที่ไม่ควรเป็น
เลยขอเอาข้อมูลที่ อ.ชาญวิทย์ เขียนเพื่อเผยแพร่ข้อเท็จจริง ทำไมเขาพระวิหารจึงเป็นของกัมพูชา
และทำไมมันจึงยังคงเป็นปัญหา “อยากได้คืน” ของไทยอย่างไม่เสื่อมคลาย

ขอให้แวะไปอ่านกันให้ได้ค่ะ

บทวิเคราะห์
ส่งให้เพื่อน พิมพ์หน้านี้
ปราสาทเขาพระวิหาร-กรณีศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองกับลัทธิชาตินิยม

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

สืบเนื่องจากการที่ประเด็นเรื่องของ “ปราสาทเขาพระวิหาร”
ได้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองในการโค่นล้มรัฐบาลของ นรม. สมัคร สุนทรเวช
และ “ระบอบทักษิณ” เป็นปัญหาของการเมืองภายในของเรา
แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ด้วย
เรื่องนี้มีความสำคัญและมีความจำเป็นที่เราจะต้องทำความเข้าใจที่มาและที่ไป
ของเรื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทางประวัติศาสตร์ และทางรัฐศาสตร์การเมือง
ดังนั้น จึงขอบรรยายตามลำดับ ดังต่อไปนี้ …

http://special.bangkokbiznews.com/detail.php?id=2419&username=phavihan

(กรุณาตามอ่านเองนะคะ มันยาวมาก)

โอย กว่าจจะจบ
เล่าได้ไม่ผิดเพี้ยนเลยครับ

ว่าไปแล้วรัฐบาลไทยแพ้คดีนี้อย่างค่อนข้างราบคาบ และคำพิพากษาของศาล ก็ยึดจากสนธิสัญญาและแผนที่ที่ทำขึ้นหลายครั้งในสมัยปลายรัชกาลที่ 5 นั่นเอง แผนที่และสัญญาเหล่านั้นขีดเส้นให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในอินโดจีนของฝรั่งเศส หาได้ใช้หลักทางภูมิศาสตร์หรือสันปันน้ำ หรือทางขึ้นไม่ การกำหนดพรมแดนดังกล่าว รัฐบาลสยามในสมัยนั้นของรัชกาลที่ 5 และสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ได้ยอมรับไปโดยปริยายโดยมิได้มีการท้วงติงแต่อย่างใด ดังนั้นผู้พิพากษาศาลโลก ก็ถือว่าการนิ่งเฉยเท่ากับเป็นการยอมรับหรือ “กฎหมายปิดปาก” ซึ่งไทยก็ต้องแพ้คดี นั่นเอง (โปรดดูสรุปย่อคำพิพากษาของศาลโลกเป็นภาษาอังกฤษได้จาก

อ่านแล้วเหมือนกรณีปาเลสไตน์เลยครับ

" นักการเมืองทุกคนควรต้องให้ความสำคัญกับเรื่องอธิปไตยของประเทศมาเป็นอันดับหนึ่ง "

อยากจะกินหมูเห็นเป็ดไก่ ประชาชนจะถวายให้ แต่เรื่องอธิปไตย นักการเมืองไม่ทำแล้วจะให้ใครทำครับ
ไล่ออกไปยังไม่คุ้มเลยครับ