ช่วยแนะนำ host ที่ใช้ apache และ php หน่อยครับ

มีโฮสต์ราคาไม่แพงที่ไหน ที่ใช้ apache และ php แต่ใช้งานได้แค่ html บ้างครับ (ปิดมันซะทุกอย่างแม้กระทั่ง mod rewrite)
ช่วยแนะนำหน่อย เวลาคนหาซื้อจะได้รู้ว่า เว็บช้านใช้กับ host เธอไม่ได้

อ่านแล้วงงนิดๆ

ถ้าโฮสผมก็จะมีแบ่ง plan เอาไว้ 2 แบบครับ คือแบบ HTML กับ CMS
ถ้าสมัครแบบ HTML ก็จะใช้งาน php+cgi ไม่ได้ แต่จะได้ BW มากกว่า plan แบบ CMS ครับ

http://www.pinkkeyhost.com/hosting.php

คุณ eTrader

อ้ออ

เอ๋ เหมือนน้อยใจ อะไรอยู่ป่าวเอ๋ย
ขอรับไว้พิจารณาด้วยสักเว็บครับ http://www.ireallyhost.com

งั้นผมก็ขอย้ายหมวดเลยแล้วกันครับ

คือ ขี้เกียจอธิบายลูกค้าถึงเหตุผลในการเปลี่ยน host ที่เขาใช้อยู่หน่ะครับ บางเรื่อง บางเหตุผลก็เข้าใจเจ้าของ host แต่บางเรื่องบางเหตุผล ก็ไม่เข้าใจ เจ้าของ host เหมือนกัน (เวลาผมเขียน ผมเขียนในสภาวะที่ hosting มาตราฐานใช้โดย server ผมจะ set ตามมาตราฐานเพื่อที่จะสามารถใช้ได้กับหลายๆ host) อะไรที่ใช้ไม่ได้มันก็มีทางแก้ไขให้ใช้อย่างอื่นได้… รอดูเถอะครับ mambo ที่เลื่อนไปเพราะเจอบั๊กเสร็จเมื่อไหร่ น่าจะทำให้เจ้าของเว็บ และ เจ้าของ host ได้วิวาทกันซักตั้ง

ค่า default ที่ผม config webserver ใน virtual host ของผมจะมีสองแบบครับ เรียกตามลักษณะดังนี้

  1. แบบ Classic (Virtual Host)
    เซอร์ฟเวอร์จะเป็น FreeBSD 6.1 Compile to stable และสร้างทุกอย่างจาก souce code ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น Apache, MySQL, PHP แต่ที่โดดเด่นกว่าเครื่องอีกแบบหนึ่งคือ MySQL Server จะแยกออกไปอีกเครื่องหนึ่ง กับ Mail Server จะแยกออกไปอีกเครื่องหนึ่งครับ
    ระบบ classic webserver นี้จะ config ทุกอย่างทุกขั้นตอนด้วยมือผ่าน SSH ทุกอย่างครับ
    โดยมีข้อดีคือ… สามารถ configuration ค่าต่างๆ ตามแต่ละ virtual host ต้องการ หรือจะกำหนด รวมไปถึงการปรับแต่ง dns ต่างๆด้วยครับ (DNS1 และ DNS2 จะแยกออกไปอย่างละเครื่อง)
    ระบบดังกล่าวทำงานบน url เว็บชื่อว่า เดอะเซอร์ฟเวอร์บ้ส http://www.theserverbiz.com
    เป็นระบบที่สร้างมาตั้งแต่ปี 2544 จนมาถึงปัจจุบัน (จาก FreeBSD 4.4 จนปัจจุบัน 6.1)
    อีกทั้งเครื่อง Co-Location ของลูกค้าอีกหลายๆเครื่อง ใช้ระบบดังกล่าวมาหลายปีครับ เป็นระบบที่มีความมั่นคงสูง อีกทั้งการปรับเปลี่ยนและ upgrade ทำได้ง่าย ทันสมัยในเวอร์ชั่นเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เพราะมันไม่ขึ้นกับโปรแกรม Control Panel ครับ
    หากมองหาคุณภาพจริงๆ ระบบ Classic Virtual Host แบบนี้รองรับท่านได้อย่างดีครับ

  2. Smart (Virtual)
    เซอร์ฟเวอร์ในรูปแบบนี้ พึ่งได้เริ่มต้นจัดทำมาได้ประมานสองเดือนที่ผ่านมาครับ มีสอง OS และ CP ที่เลือกนำมาใช้คือ
    Debian + VHCS
    FreeBSD + DirectAdmin
    ระบบ Smart Virtual Host ของผมก็ไม่แตกต่างจากโฮสติ้งเจ้าอื่นๆสักเท่าไร เขาทำอะไรได้ เราก็ทำได้อย่างนั้น

จากประสบการณ์…การให้บริการที่ผ่านมานะครับ เว็บไซต์ไหนใหญ่ๆ และมีปริมาน Traffic สูงๆ กับใช้เนื้อที่ hdd มาก… จะต้องมาใช้ในรูปแบบ Classic Webserver เสียเป็นส่วนใหญ่ครับ เนื่องจากโปรแกรม CP อาจจะมีปัญหาได้ในบางจังหวะที่เกิดโหลดสูงๆได้ อาทิเช่น mysql ล่มนิดหน่อย ก็พาลทำให้ apache ล่มไปด้วย อะไรหลายๆอย่างถูกจำกัดจากโปรแกรม CP ตัวเดียวครับ ความอ่อนตัวในการปรับแต่ง Module ต่างๆ น้อยกว่าแบบ Classic Server มากครับ

เป็นเรื่องปกติครับ… ได้อย่าง ก็ต้องเสียอย่าง อยากได้ความสะดวกสบาย ก็ใช้แบบ Smart Webserver หากอยากได้แบบมั่นคง มีความน่าเชื่อถือสูงๆ ก็เลือกทำแบบ Classic Webserver และปรับแต่งทุกอย่างให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด โดยการปรับแต่งดูจากปริมานการใช้งาน resouce แต่ละประเภทไปครับ

webserver ที่มีประสิทธิภาพสูงๆ ต้องลด overhead ให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะโปรแกรมประเภทมี CP ทำงานด้วยแล้ว นั้นเป็น overhead ตัวหลักเลยครับ อีกทั้งเป็นตัวกำหนดอะไรต่างๆที่ค่อนข้างจะตายตัวครับ

อย่าไปคิดมากครับ อยากได้เครื่องแรงๆ เราก็ต้องแต่งเอง เหมือนรถแข่งครับ ที่แต่งมาเฉพาะทางของมัน

ส่วนเรื่องโปรแกรมเว็บประเภท CMS กับ HTML อย่างเดียว ต้องมาเถียงๆกัน ก็ไม่ใช่อะไรครับ ก็ mysql มันอยู่ในเครื่องเดียวกันทั้งหมด อะไรๆก็อยู่ในเครื่องเดียวกันทั้งหมด พอลงเว็บลูกค้าๆมากๆเข้าไป ก็อ้วกออกมา…เป็นเรื่องธรรมดาครับ

ไซต์ใหญ่ๆ เขาก็แยก database server ออกจากเครื่อง apache ทั้งนั้นแหละครับ

+1

เริ่มแรก…เดิมที ผมทำงานกับ ISP ชื่อดังจากต่างประเทศ ดูแลเครื่องเซอร์เวอร์จำนวนมากครับ site ที่ดูแลจะอัน 1 ใน 3 ของ truehit ครับ

จึงมีประสบการณ์กับ site traffic ใหญ่ๆมาครับ เชื่อไหมว่าแค่ httpd log ไฟล์วันเดียว size ขนาด 1GB เลยครับ นั้นแค่ apache อย่างเดียวครับ สำหรับ cpu ก็เป็น compaq daul cpu, ram 2GB (เมื่อ 7 ปีที่แล้วถือว่าใหญ่มากครับ)

พบและประสบความสำเร็จอย่างหนึ่งคือ หากให้เครื่องเซอร์ฟเวอร์ใดๆ ทำงานเฉพาะทาง อาทิเช่น httpd แค่อย่างเดียว แล้ว tune souce code ให้ open file เปิด slot และ connection ไว้มากๆ มันจะทำได้ลื่นไหลกว่าทำงานหลายๆประเภทในหลากหลาย process ครับ

ครั้นผมออกมาทำงานส่วนตัว… ผมก็เริ่มจากเครื่องเดียวก่อนเหมือนกันครับ แต่ทำเองทุกอย่าง ลด overhead เท่าที่จะทำได้ พอมีทุนมากขึ้น ก็ตะบันเพิ่ทเครื่อง แยก service ออกจากกัน

ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราจะพบปัญหาหลักๆเรื่องเดียวคือ diskspace กับ howto backup แค่เนี้ยแหละ ที่สร้างความปวดหัวกับ sysadmin นะครับ

ทุกเครื่องที่ทำ ก็มี riad หมดครับ แต่นั้นก็ไม่พอครับ เพราะ users ต้องการ diskspace มากขึ้นๆเป็นเงาตามตัว นับวันมากขึ้นโดยที่ของเก่าก็ไม่ได้ลบออก

สำหรับ os ที่ผมใช้กับ mysql database คือ redhat enterprise 3
ตั้งแต่ผมใช้ตัวนี้มา ไม่พบปัญหากับ database อีกเลยครับ ทำงานเข้ากันดีมาก (compile เองนะครับ) และปรับแต่ง config ให้มันแดก memory ให้หมดเครื่องที่มีอ่านะ อยากกินหน่วยความจำก็ให้กินไปให้ จากนั้นมันก็ใช้งานในส่วนของมันครับ

สำหรับ apache มันต้องการเรื่อง slot connection ที่เปิดตัวและปิดตัวโดยไม่ค้างหน่วยความจำไว้มากมาย ให้แตก thred ให้มากที่สุดเท่าที่ process จะแตกออกมาได้ คือการแตก process ออกมามันจะรองรับ connection ใหม่ที่ req มา process เก่าก็ทำงานไปจน req page นั้นเสร็จสิ้นการทำงาน ส่วน mysql ก็ถูกอีกเครื่อง สำรองงานการทำ query sql อีกเครื่องหนึ่งอยู่แล้ว ไม่มีใครต้องรอใคร ทำให้ process จริง…ไม่ wait…

นี่แหละครับ… เขาเรียกว่าแบ่งกันทำหน้าที่ แบ่งภาระหน้า ให้เครื่องที่ชำนาญเฉพาะทาง ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนคนครับ ชำนาญเฉพาะทาง ทางใดทางหนึ่ง ยอมทำงานได้เร็วกว่า คนที่ทำหลายๆอย่าง มันก็เป็นเป็ดไปอ่านะ

เครื่องเซอร์ฟเวอร์ที่ทำงานทุกอย่าง ผมเรียกว่าเซอร์ฟเวอร์เป็ดครับ

ที่ถามว่าลูกค้าไม่รำคาญหรอครับ ที่ add เองทุกอย่าง
ตอบคือไม่ครับ แต่ที่ผมแปลกใจคือ ผมเสนอใหลูกค้าลง directadmin (แถมให้ฟรีๆเลย) ลูกค้าที่เป็น site ใหญ่ๆ ปฎิเสธว่าไม่เอา CP ครับ ไม่เอาเลยเพราะทุกวันนี้เขา happy กับการทำงานเว็บดีอยู่แล้ว และบอกกลับมาว่า เอา cp มาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรกับผม เพราะผมคือ users ใช้อะไรก็ใช้ไปอย่างนั้น อยากจะได้อะไรผมก็ยกหูโทรหา support ง่ายกว่า เอาเวลาไปพัฒนาเว็บดีกว่า

มันเป็นแบบนี้จริงๆครับ เครื่องลูกค้าเก่าๆ จะไม่มี cp ครับ แต่ก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาก็ไม่ได้ย้ายไปไหน ปรับเปลี่ยนอะไรกันมาสี่ห้าปีแล้ว ลูกค้าขออย่างเดียว เว็บทำงานเร็ว มั่นใจการทำงานระยะยาวๆ ไม่ปวดหัวกับเรื่องที่เขาไม่ต้องมายุ่ง (เช่น มานั่ง backup เอง)

ก็ประมานนี้แหละครับ ที่ผมทำงานผ่านมาหกปี ใส่ใจในรายละเอียด ไม่ได้ใส่ใจปริมานและราคาถูก

มันก็ยากครับ การที่เราจะเอาเครื่องที่ลง cp มาทำโน่นทำนี่ ตามใจนึก ขนาดผมเอง ยังทำไม่ได้เลยครับ
จะ add web ต้องใช้ vi มาแก้ httpd.conf เอง ไหนจะต้องทำกับ named.conf เองอีก ทุกๆอย่างใช้ vi ตัวเดียวอ่ะครับ

ก็เล่าให้ฟังเท่านี้แหละครับผม…

ขอบคุณครับ ที่มาแชร์ประสบการณ์

ได้ความรู้อีกแล้ว

ลูกค้าใหม่ๆ ส่วนใหญ่ ต้องการใช้ CP ตามกระแสนิยม ที่ว่าไม่อยากใช้ CP ถ้าเจอลูกค้าแบบนี้ก็แถมข้าวไปอีกกระสอบเลยครับ

ไม่ได้วิตกครับว่าลูกค้าจะเลือกแบบไหน เพราะเรามีทั้งสองแบบครับ

แต่นานๆไป มักจะไปแก้ปัญหาในรูปแบบเดิมๆ “สูงสุดคืนสู่สามัญ”

ผมว่าปกตินะครับ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็ต้องการ CP ที่ใช้งานได้ง่ายและทำได้ครบตามที่ต้องการใช้งาน
ส่วนเวบใหญ่ๆที่ถึงระดับอยู่เวบเดียวทั้งเครื่องหรือหลายเครื่องเขาก็จะไม่มานั่งห่วงเรื่องมีหรือไม่มี CP แล้วล่ะครับขอให้เวบใช้งานได้ตลอดและเร็วเป็นพอ
ซึ่งลูกค้า 2 กลุ่มนี้มันก็แยกระดับกันชัดเจนอยู่แล้ว กลุ่มแรกก็เป็น share host ซึ่งก็มี cp ให้ใช้กันทั้งนั้น อีกกลุ่มก็เป็นพวก dedicated หรือ colo
ส่วนกลุ่ม vps ก็แล้วแต่ว่าเขาต้องการแบบใหน

หรือจริงๆแล้วกลุ่ม share host นั้นแบ่งได้เป็น 2 แบบคือ Managed กับ Unmanaged หรือก็คือแบบมี CP กับไม่มี CP
แบบมี CP ก็คือลูกค้าจัดการเองเราดูแลแค่เรื่อง system เป็นหลัก ส่วนแบบไม่มี CP เราก็ต้องรับจัดการเรื่องต่างๆให้ลูกค้าทั้งหมดซึ่งแบบนี้ราคาจะสูงกว่าแบบแรกแน่นอน

เห็นด้วยกับพี่ devone ครับ เว็บใหญ่ ๆ ถ้ามาใช้ CP คงไม่เหมาะครับ
เพราะว่าตัว CP เองก็ิกิน resource ระบบพอสมควรครับ add มือ
อย่างพี่ devone เก๋าสุด ๆ ครับ

[quote author=ThaiON link=topic=4120.msg32611#msg32611 date=1157688958]
ลูกค้าใหม่ๆ ส่วนใหญ่ ต้องการใช้ CP ตามกระแสนิยม ที่ว่าไม่อยากใช้ CP ถ้าเจอลูกค้าแบบนี้ก็แถมข้าวไปอีกกระสอบเลยครับ

“เสียงจากลูกค้าที่ใช้งานแบบไม่ได้ใช้ cp”

ลูกค้ารายหลายที่อยู่กับผมมาเกิน 6 ปีแล้ว… จะตอบเป็นเสียงเดียวว่า ขอใช้แบบ classic แบบเดิมดีกว่าครับ และเป็นลูกค้ารายใหญ่ๆทั้งนั้นครับ แบบ colo ด้วยไม่ใช่แบบเดือนละไม่กี่ร้อยบามครับ

เว็บเหล่านั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมามากครับ สมัยอยู่ที่อื่นล่มบ่อยเพราะใช้ cp นี่แหละครับ อีกทั้ง tune apache ไม่ดีเท่าทีควร ต่างๆนาๆ เกี่ยวกับการจัดการ log เครื่องไม้เครื่องมือ add on ไม่สะดวกเท่าแบบ classic

ขนาดแถม da ให้ฟรีๆ ยังไม่เอากันเลย บอกว่า…ขออยู่อย่างนี้ไปดีกว่า นิ่งมากว่าห้าหกปี ไม่ดิ้นรนดีกว่า เพราะจริงๆ ทำเว็บอย่างเดียว อยากได้อะไรก็แจ้งคุณหนึ่งให้เข้าไป add config ให้ เพียงแต่ยกหูโทรไปบอกให้ทำโน่นทำนี่ ง่ายกว่า (น้าน…)

อยากจะบอกความในใจครับ… ปัจจุบัน ผมพยามยัด cp ให้กับลูกค้าใหม่ๆหมด เพราะอะไรหรือครับ?
เพราะมันสะดวกผมไงครับ (นอนตีพุงอย่างเดียว) ไม่ต่องมาค่อยนั่งทำ config ตั้งหลายอย่างให้กัลลูกค้า

หากเทียบความแน่นอน ความนิ่ง ความไว้วางใจได้ ทำแบบ classic แน่นอนมากครับ ไงๆ cp ก็สู้ไม่ได้จริงๆ ยกเว้นไม่สะดวกสบาย admin อ่านะ

หากเป็นเว็บแบบ enterprise มักจะใช้แบบ classic ครับ ที่เมื่อก่อนทำแบบนั้นไม่ใช่อะไรครับ คนมันจน จนเงินทองครับ ไม่มีปัญญาซื้อ cp จริงๆครับ หาเงินมาส่งค่าเครื่อง ค่าเช่าตู้ ก็แสนจะลำบาก เที่ยวกู้หนี้ยืมเงินคนข้างบ้าน เลี้ยงตู้นี่แหละ ส่วนไหนประหยัดได้ก็ประหยัดครับ

ความขัดสนด้วยความเรามันจน…อ่านะ

ในความเห็นส่วนตัว ก็ไม่ต่างกันมากครับทั้งแบบมี cp และทำเอง แต่ในกรณี backend ทำงานด้วย cp เวลาเครื่องมันโหลดหนักๆ มันมักจะร่วนไปทั้งหมด ทุก service ครับ ทำให้บางทีเมล์ก็รับได้บ้างไม่ได้บ้าง หรือบางที mysql timeout ไปด้วย หลายๆอย่างรวมกัน พอกันล่มสนิทไปเลยครับ
หากเป็นแบบ classic มันจะแยกรายละเอียดในการโอเวอร์โหลดกันได้ คือไม่ล่มสนิทครับ โอกาสแบบนั้นแทบไม่มี

ฉะนั้น…เว็บใหญ่ๆมักจะแยก service แยกเครื่องกันทำงานไงครับ เรียกว่าแต่งกันแรงไปคนละด้านครับ
ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถยกเลิก server classic ออกไปได้เพราะลูกค้าไม่ยอมหันไปใช้ cp อ่า…

ทำแบบ classic เสียเครื่องไปหลายเครื่องครับ (ไม่น้อยกว่าสามเครื่อง)

ปล. classic server ในความหมายของผมคือ ระบบทำมืออ่านะ :wub:

ใจจริงอยากใช้ lighttpd มาทำ frontend มากๆ เลย
เร็วกว่า apache มากๆ (อย่างเห็นได้ชัดเมื่อ request/sec > 10)
ติดแค่ว่า ไม่มี CP ไหนรับ แล้วก็ไม่รับ .htaccess ด้วย
เศร้าเลย