กูเกิลฟุ้ง แอนดรอยด์โฟนจัดส่งวันละ 65,000 เครื่อง
อีริก ชมิดท์ ซีอีโอกูเกิลกับผู้บริหารโมโตโรโล ในงานเปิดตัวโมโตโรลา ไมสโตน แอนดรอยด์โฟนสุดฮ็อต
อีริก ชมิดท์ ซีอีโอกูเกิล กล่าวในงานประชุมผู้ถือหุ้นที่สำนักงานใหญ่กูเกิลในรัฐแคลิฟอร์เนีย ว่าปัจจุบันมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์หรือแอนดรอยด์โฟนนั้นถูกจัดส่งสู่ตลาดราว 65,000 เครื่องต่อวัน เบ็ดเสร็จคิดเป็นยอดจัดส่งเกือบ 2 ล้านเครื่องต่อเดือน
“พาร์ทเนอร์ของเรากำลังขนส่งแอนดรอยด์โฟนกว่า 65,000 เครื่องต่อวัน แต่ถ้าคุณเช็คตามเว็บไซด์ต่างๆ คุณจะพบรายงานว่านั่นเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างต่ำ” ชมิดท์ถ่อมตัว แม้ว่าเมื่อคูณ 30 จำนวนยอดจัดส่งจะมีจำนวนราว 1,950,000 เครื่องต่อเดือน ถือเป็นตัวเลขที่พอจะสู้กับยอดจำหน่ายไอโฟน ซึ่งแอปเปิลระบุว่าสามารถทำยอดจัดส่ง 8.75 ล้านเครื่องในไตรมาสแรกของปีนี้ (เฉลี่ยราว 2,916,670 เครื่องต่อเดือน)
ชมิดท์ให้ข้อมูลว่าแอนดรอยด์ถูกใช้บนโทรศัพท์มือถือ 34 รุ่น ใน 49 ประเทศทั่วโลก โดยมั่นใจว่าแอนดรอยด์โฟนกำลังจะขึ้นเป็นสมาร์ทโฟนเบอร์หนึ่งหรือเบอร์สองในตลาดได้
เรื่องนี้บริษัทวิจัยการตลาด"เอ็นพีดี กรุ๊ป" เคยออกมาระบุว่ายอดขายสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ในสหรัฐฯนั้นเพิ่มขึ้นจนแซงหน้าแอปเปิลในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์คิดเป็น 28 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายในสหรัฐ ในขณะที่ยอดขายไอโฟนคิดเป็น 21 เปอร์เซ็นต์ เอ็นพีดี ขณะที่แชมป์เป็นของ Research in Motion (RIM) บริษัทผู้ผลิตแบล็คเบอรีที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดคิดเป็น 36 เปอร์เซ็นต์
ชมิดท์ระบุว่ากลยุทธ์ของกูเกิลนั้นแตกต่างจากค่ายอื่น เพราะกูเกิลอนุญาตให้นักพัฒนาสามารถใช้โค้ดโปรแกรมได้ฟรี ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติวงการซอฟต์แวร์เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ทางเศรษฐกิจแบบเปิด ซึ่งแม้ไม่ได้ระบุชื่อ แต่ชมิดท์ก็ทำให้คนฟังรู้สึกถึงแอปเปิล
นอกจากชมิดท์ แลร์รี่ เพจ ผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิลยังกล่าวในงานประชุมครั้งนี้ด้วยว่ายุทธศาสตร์ในการทำให้อุปกรณ์ต่างๆสามารถใช้งานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ได้นั้นจะเป็นประโยชน์ต่อกูเกิล ทั้งในแง่การค้นหาผ่านกูเกิลที่จะเพิ่มขึ้น รวมถึงบริการอื่นๆที่กูเกิลจะทำในอนาคต
“ผมหวังว่าคุณจะเห็นอุปกรณ์เหล่านี้เป็นเครื่องชี้วัดว่าเราจะสามารถสร้างรายได้จากผู้บริโภคได้อย่างไร” เพจกล่าว ซึ่งชมิดท์เห็นด้วยและระบุว่ามีความสุขที่ได้เห็นแอปพลิเคชันและบริการของแอนดรอยด์สามารถให้บริการในอุปกรณ์หลายเฟรมเวิร์ก ซึ่งจะมีคุณค่าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลใน 5-10 ปีข้างหน้านับจากนี้
…สรุปว่านักลงทุนตาเยิ้มกันเป็นแถว…