ศึกชิงจ้าวเทคโนโลยีโลก ปัญหามาตรฐาน WLAN ในสายตาคนจีน
โดย ผู้จัดการออนไลน์
[b]ประเด็นความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาในเรื่องมาตรฐานเครือข่ายแลนไร้สายนั้น แท้จริงแล้วคือการชิงไหวชิงพริบ การใช้ชั้นเชิง เพื่อแย่งชิงความเป็นมหาอำนาจแห่งโลกเทคโนโลยีเอาไว้ในมือ ตามความเห็นของ หยิน เฟย (Jin Fei) ในเว็บไซต์ไชน่าอีโคโนมิกเน็ต (China Economic Net)[/b]
หยิน เฟย รายงานเอาไว้บนเว็บไซต์ไชน่าอีโคโนมิคเน็ตว่า ประเด็นความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาในเรื่องมาตรฐานเครือข่ายแลนไร้สาย (Wireless LAN; WLAN) กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่มีข่าวขึ้นหน้าหนึ่งได้แทบทุกวัน
ต้นเดือนมีนาคม โดนัลด์ อีวานส์ (Donald Evans) รมว.พาณิชย์, คอลิน เพาเวลล์ (Colin Powell) รมว.ต่างประเทศ และ โรเบิร์ต โซลลิค (Robert Zoellick) ผู้ดูแลด้านพาณิชย์ของทำเนียบขาว ได้ส่งจดหมายถึงรัฐบาลจีน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ประเด็นความขัดแย้งเรื่องมาตรฐาน WLAN นั้น มีนัยสำคัญที่ไปเกี่ยวพันกับความเป็นผู้นำแห่งโลกเทคโนโลยี รวมไปถึงความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาด้วย
ต้นเหตุของความขัดแย้งก็ไม่มีอะไร เพียงแต่อยู่ดีๆจีนก็เปิดตัวมาตรฐาน WLAN ที่เป็นการประดิษฐ์คิดค้นของจีนเองออกมาเมื่อกลางปี 2003 ชื่อว่า WAPI (WLAN Authentication and Privacy Infrastructure) พร้อมกับประกาศว่าจะบังคับใช้มาตรฐาน WAPI ในอาณาเขตประเทศจีน ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2004 เป็นต้นไป
นั่นหมายความว่า กลุ่มพันธมิตรผู้ให้การสนับสนุนมาตรฐาน Wi-Fi หรือ IEEE 802.11b ซึ่งนำโดยอินเทล (Intel Corp) นั้น หากต้องการซัพพอร์ตมาตรฐาน WAPI ของจีนแล้ว ก็จำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างทางเทคนิคใหม่ทั้งหมด ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถวางจำหน่ายภายในประเทศจีนได้อีกต่อไปหลังวันที่ 1 มิถุนายน 2004
อย่างไรก็ตาม อินเทลก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีความกระตือรือร้นที่จะซัพพอร์ตมาตรฐาน WAPI แต่อย่างใด ขณะที่บริษัทยักษ์ต่างชาติหลายแห่งมองเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เป็นความพยายามของจีนเพื่อตั้งกำแพงกีดกันด้านการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งขณะนี้พวกเขากำลังพยายามอย่างยิ่งเพื่อล็อบบี้รัฐบาลจีนให้เปลี่ยนหรือยกเลิกมาตรการดังกล่าว
[b]คำถามก็คือ ทำไมมาตรฐานเครือข่ายแลนไร้สายที่เป็นเทคโนโลยีจีนนั้น จึงกลายเป็นประเด็นร้อน??? และทำไมบริษัทต่างชาติจึงไม่พยายามซัพพอร์ตและเปิดรับเทคโนโลยีดังกล่าว??? คำตอบของเรื่องนี้น่าสนใจและน่าติดตามอย่างยิ่ง[/b]
หยิน เฟย รายงานว่า ความจริงปัญหานี้ก็เป็นปัญหาลักษณะเดียวกันกับการละเมิดสิทธิบัตรดีวีดี ที่บริษัทซิสโก้ (Cisco) ของอเมริกาฟ้องบริษัทหัวเว่ย (Huawei) ของจีน ว่าหัวเว่ยละเมิดสิทธิบัตรของซิสโก้ และก็เป็นปัญหาเดียวกับการละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยี TD-SCDMA ที่บริษัทควอลคอมม์ (Qualcomm) ของอเมริกาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทดาตังเทเลคอม (Datang Telecom) ของจีน
[b]ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้จีนรู้ว่าพวกเขากำลังกลายเป็นเหยื่อ ตกลงไปในหลุมพรางที่ผู้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีวางเอาไว้ ครั้งแล้วครั้งเล่า[/b] ด้วยความเป็นเจ้าของเทคโนโลยีทำให้บริษัทต่างชาติอยู่ในระดับชั้นสูงสุดของห่วงโซ่อุตสาหกรรม [b]ขณะที่บริษัทของจีนกลับมีรายได้เพียงน้อยนิดจากการประกอบชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์เท่านั้น[/b]
[b]ในโลกพีซี อินเทลและไมโครซอฟท์ (Microsoft) คือมหาอำนาจ[/b] รายแรกมีอำนาจในการควบคุมความเป็นไปของโลกโปรเซสเซอร์ ส่วนรายหลังคือผู้กุมอำนาจในโลกซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ พลังของทั้งคู่เมื่อรวมกันแล้ว [b]สามารถจะบังคับให้อุตสาหกรรมพีซีเดินไปในทิศทางใดก็ได้แล้วแต่จะชี้นิ้ว[/b] แม้จะมีการแข่งขันรุนแรงในโลกของพีซี แต่บริษัทคอมพิวเตอร์จีน อย่าง ลีโนโว (Lenovo) และฟาวเดอร์ (Founder) ก็ไม่อาจรอดพ้นจากอำนาจการควบคุมของพันธมิตรวินเทล (Wintel) ได้
ในโลกโทรศัพท์มือถือ ปี 2003 สินค้าจีนประสบความสำเร็จอย่างงดงามด้วยมาร์เก็ตแชร์กว่า 50% อย่างไรก็ตาม จากโทรศัพท์มือถือจีนจำนวนหลาย 10 ล้านเครื่องนั้น มีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ใช้ชิปซึ่งเป็นเทคโนโลยีของจีนเอง สาเหตุเพราะผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือจีนส่วนใหญ่อยู่ในสถานะผู้ประกอบชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์ ไม่มีความสามารถในการพัฒนาโปรแกรม ไม่สามารถพัฒนาโปรโตคอลเองได้ ยังไม่ต้องพูดถึงระดับผู้ผลิตชิป
สินค้าไอทีส่วนใหญ่เป็นความอนุเคราะห์จากบริษัทต่างชาติ สิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งจากความเป็นเจ้าของเทคโนโลยีก็คือ พวกเขาสามารถควบคุมและกำหนดกติกาการเล่นได้ นั่นหมายความว่า สิ่งที่บริษัทจีนทำได้จึงเพียงแค่เต้นไปตามจังหวะบนฟลอร์ที่เจ้าของเทคโนโลยีตั้งไว้เท่านั้น ไม่มีโอกาสจะตีเสมอหรือขึ้นสูงกว่าได้ "ชั้น 3 คือคนขายสินค้า, ชั้น 2 คือคนขายบริการ, ชั้น 1 คือคนขายเทคโนโลยี และสูงที่สุดดีที่สุดคือคนขายมาตรฐาน" นี่คือฉันทามติแห่งวงการอุตสาหกรรม
ศาสตราจารณ์ ลี จินเหลียง (Li Jinliang) แห่งสถาบันซีเออี (Chinese Academy of Electronics; CAE) กล่าวว่า กลุ่มพันธมิตร Wi-Fi ไม่ได้มีปัญหากับเฉพาะจีนเท่านั้น กับยุโรปก็มีปัญหาเช่นกัน ประเด็นเรื่องซีเคียวริตี้และประเด็นความสนใจของผู้บริโภคทำให้สหภาพยุโรป หรืออียู (European Union) ต้องโดดเข้ามาแจม โดยกำหนดว่าให้ใช้มาตรฐาน WLAN ใหม่ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของอียูเอง แต่แทนที่จะเพิกเฉยหรือปฏิเสธเช่นเดียวกับที่ทำกับจีน กลุ่มพันธมิตร Wi-Fi กลับให้ความร่วมมืออย่างดีกับอียู ออกเป็นมาตรฐานใหม่ IEEE 802.11h ซึ่งมีใช้กันเฉพาะในยุโรป
ในจีน กลุ่มพันธมิตร Wi-Fi ไม่ได้ให้ความร่วมมือใดๆทั้งสิ้น ไม่ให้ความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยี หรือแม้แต่คิดจะเจรจากับบริษัทของจีน เช่น ลีโนโวและหัวเว่ย เพื่อแก้ปัญหาเรื่องสิทธิบัตร และที่น่าสังเกตเป็นอย่างยิ่งก็คือ ราคาโน้ตบุ๊คเซนทริโนมีการปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง จากระดับไฮเอนด์ 20,000 หยวนมาอยู่ที่ระดับโลว์เอนด์ต่ำกว่า 10,00 หยวนในช่วงเวลาเพียงไม่ถึง 3 เดือน การกระทำเช่นนี้แสดงว่าบริษัทต่างชาติมีเจตนาต้องการบีบให้จีนต้องทบทวนและยกเลิกการประกาศใช้มาตรฐาน WAPI ด้วยมาร์เก็ตแชร์ขนาดยักษ์ซึ่งเป็นฐานอำนาจที่พวกเขามีอยู่ในมือและสามารถนำมาใช้ต่อรองได้ ตามการรายงานของ หยิน เฟย
เฉิน หยูปิง (Chen Yuping) รมว.กระทรวงอุตสาหกรรมสารสนเทศของจีน (Ministry of Information Industry) กล่าวว่า นี่คือสถานการณ์ที่อุตสาหกรรมชิปจีนจะต้องผ่านไปให้ได้ "เราจะไม่พึ่งคนอื่นแบบ 100% เพื่อความอยู่รอด"
ปัจจุบันจีนอยู่ในสถานะที่พร้อมที่สุดสำหรับการผลิตชิป WLAN ของตัวเอง ขณะนี้รัฐบาลจีนได้จัดส่งเทคโนโลยี WAPI ถึงมือบริษัทเทคโนโลยีที่ได้รับการคัดเลือกจากรัฐบาลจีนจำนวน 11 แห่งแล้ว อาทิ ลีโนโว, หัวเว่ย, ซีทีอี (ZTE) และนูซอฟต์ (Nusoft) โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ไม่มีปัญหาสำหรับการผลิตชิป WLAN ให้ซัพพอร์ต WAPI และคาดว่าจะเริ่มเดินสายพานการผลิตกันได้ก่อนเดือนมิถุนายนอย่างแน่นอน
[b]รัฐบาลจีนค่อนข้างแข็งกับ WAPI โดยประกาศว่า รัฐบาลจีนจะไม่ทบทวนมาตรฐานดังกล่าวอีก และจะไม่เลื่อนหรือยกเลิกใช้ WAPI อย่างแน่นอน[/b]
"การนำมาใช้ซึ่งเทคโนโลยีของจีนนั้น ไม่ได้เป็นการจำกัดหรือขัดขวางการเข้ามาของบริษัทต่างชาติแต่อย่างใด มันเป็นเพียงเครื่องมือที่ถูกใช้เพื่อให้พวกเขาอัพเดทแนวคิดเท่านั้น อย่างแรกคือ ธุรกิจคือธุรกิจ, ความเสมอภาค และการได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย อย่างที่สองคือ จีนกำลังเติบโต เรามีความสามารถเต็ม 100 ในการสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีที่เป็นของเราเอง ยุโรปและญี่ปุ่นก็มีมาตรฐานไร้สายเป็นของตัวเอง ดังนั้นจีนจึงมีสิทธิที่จะทำได้"
หลังมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าไอทีของจีนในขณะนี้มีมูลค่าสูงถึง 1.8 ล้านล้านหยวน ติดอันดับ 3 ของโลกในเทอมของขนาด อย่างที่มีคนพูดกันว่า ถ้าคิดจะเป็นใหญ่ ต้องเข้มแข็ง เป้าหมายของจีนคือการเปลี่ยนตัวเองจากตลาดไอทีที่ใหญ่ที่สุดเป็นมหาอำนาจทางไอที ใครก็ตามที่ควบคุมมาตรฐานได้ เขาก็คือผู้ที่มีอำนาจที่จะกำหนดวิถีทางของอุตสาหกรรม และสงครามเทคโนโลยีและมาตรฐานก็เพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น ตามการรายงานของ หยิน เฟย